ในยุคศตวรรษที่ 21 นี้โลกธุรกิจมีการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องและรวดเร็วอย่างมากและที่ทำให้ใครหลายคนสงสัยและเป็นกังวลก็คือการมาถึงของ Digital disruption ซึ่งสิ่งนี้คืออะไรกันแน่ มีข้อดีข้อเสียหรือไม่ และธุรกิจจะปรับตัวกันอย่างไรบ้าง ซึ่งอาจารย์ ดร. อาภาศรี โสธรวิทย์ อาจารย์ประจำหลักสูตรผู้ประกอบการดิจิทัล (Digital Entrepreneur) คณะบริหารธุรกิจและการบัญชี มหาวิทยาลัยขอนแก่น ได้แสดงความคิดเห็นต่อเรื่องนี้ว่าอย่างไร มาดูกันเลย
“การมาถึงของปัญญาประดิษฐ์ หรือที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายว่า AI (Artificial intelligent) ที่สามารถวิเคราะห์ข้อมูลที่ซับซ้อนได้ ดังที่เราได้เห็นการพ่ายแพ้ในการแข่งขันเล่นโกะระหว่างมนุษย์และระบบปัญญาประดิษฐ์, นวัตกรรมหุ่นยนต์ (Robots) ที่มีบทบาทในอุตสาหกรรมการผลิตรวมถึงการใช้งานในครัวเรือนอย่างเช่นหุ่นยนต์แม่บ้าน รวมถึง 3D printing หรือการพิมพ์ภาพสามมิติ ที่มีแนวโน้มจะถูกใช้ในวงการการแพทย์และการก่อสร้าง สิ่งนี้ได้สร้างความกังวลให้ใครหลายคนต่อการมาเยือนของเทคโนโลยีดิจิทัลรวมถึงที่ใครหลายคนคาดการณ์ว่าจะนำมาซึ่งตอนอวสานของธุรกิจและอาชีพของพนักงานในหลายตำแหน่ง ทั้งนี้เป็นที่ถกเถียงกันโดยทั่วไปว่า การมาถึงของดิจิทัลนั้นจะเป็นพระเอกหรือเป็นตัวร้ายในวงธุรกิจต่าง ๆ กันแน่ ?”
“ในมุมมองของอาจารย์ อาจารย์มองว่าก่อนจะคิดว่าเป็นวิกฤตหรือโอกาสนั้น เราควรต้องเข้าใจคำว่า Disruption ก่อนว่าจริง ๆ แล้วคืออะไรกันแน่ Disruption หากแปลตรงตัวก็จะหมายถึง การทำให้บางสิ่งหยุดชะงักลง ซึ่งฟังดูมันอาจจะดูโหดร้ายและน่าจะเป็นผู้ร้ายมากกว่า แต่อาจารย์ไม่อยากให้มอง Disruption ว่าร้ายขนาดนั้นเพราะว่าเมื่อมีสิ่งใดหยุดลง มันก็มักจะมีสิ่งใหม่เคลื่อนไหวหรือเกิดขึ้นมาทดแทนเสมอ อย่างเช่นเมื่อก่อนเราเคยส่งข้อมูลเป็นเอกสารกันโดยการส่งผ่าน Fax เมื่อหมดหน้าที่ของ Fax แล้วเราก็ได้พบกับ E-mail ที่สะดวกและรวดเร็ว หรือจะเป็นการหายไปของร้านเช่าหรือขายวีดีโอหรือซีดี แต่การหายไปนี้เราก็ได้เจอกับ Netflix, Disney hot star หรืออีกหลากหลายแพลตฟอร์มที่นำเสนอหนังหรือรายการบันเทิงต่าง ๆ หรือวงการเพลงที่นักร้องศิลปินจะออกเพลงที่ต้องออกเป็นตลับเทปหรือซีดี แต่ทุกวันนี้นักร้องสามารถที่จะออกเพลงใหม่ผ่าน Youtube หรือ Spotify ได้เลย จากตัวอย่างเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าในวิกฤตมักมีโอกาสซ่อนอยู่เสมอ เราเลยไม่อยากให้มองว่า Disruption เป็นจอมวายร้ายขนาดนั้น อยากให้ Disruption เป็นแค่การเปลี่ยนแปลงไปสู่สิ่งใหม่ก็เท่านั้น ดังนั้นเรามีความเห็นว่า Digital Disruption เป็นเพียงการเปลี่ยนแปลงที่เกิดจากการมาถึงของความก้าวหน้าในการพัฒนาเทคโนโลยีดิจิทัลและการพัฒนานี้ทำธุรกิจบางกลุ่มต้องเรียนรู้และปรับตัวเพื่อความอยู่รอด มันเหมือนบททดสอบความแข็งแกร่งของตัวธุรกิจเองเช่นกัน ทั้งนี้เราไม่อยากสรุปซะทีเดียวว่ามันเป็นโอกาสหนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์ และไม่อยากให้โอนเอียงไปว่าเป็นวิกฤตขั้นรุนแรง อยากให้คิดแบบเป็นกลางว่าในวิกฤตมีโอกาส และในโอกาสเองก็มีอันตรายแฝงตัวอยู่เสมอ”
“เมื่อสรุปอย่างนี้แล้ว หลายคนคงตั้งคำถามว่า แล้วจะทำอย่างไรกับ Digital Disruption นี่ดีหล่ะ ? แล้วธุรกิจท่านจะรอดหรือไม่ อาจารย์ขอแสดงความคิดเห็นอย่างนี้ว่า ถ้าท่านคิดว่าธุรกิจคือชีวิตของท่าน และมองว่า Digital Disruption เป็นตัวร้ายนั้นตามสัญชาตญาณปกติของมนุษย์คือต้องหาทางป้องกันสิ่งร้ายนั้นให้ได้ กระนั้นการป้องกันเพียงอย่างเดียวก็ยังมีปัญหาที่ตามมาคือท่านจะต้านทานสิ่งร้ายนี้ได้นานแค่ไหน เมื่อสิ่งนี้ มันเป็นกระแสนิยมของโลก ดังนั้นอาจารย์จึงมองว่าการป้องกันอาจไม่ใช่วิธีที่ดีนักเพราะว่าโลกได้พิสูจน์ให้เราเห็นหลายครั้งแล้วว่า การปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมให้ได้ จึงจะถือว่าเป็นชัยชนะที่แท้จริง เราจึงอยากให้เจ้าของธุรกิจ ผู้ประกอบการต่าง ๆ ลองหันมอง Digital Disruption อย่างเป็นกลาง และเตรียมพร้อมที่จะทั้งรุกและรับกับการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ผู้ประกอบการควรแสวงหาความรู้ในด้านเทคโนโลยีต่าง ๆ และพัฒนาตนเองเสมอ เพื่อเตรียมธุรกิจให้พร้อมในการปรับตัวให้ทันตามการเปลี่ยนแปลงทุกรูปแบบ นี่จะเป็นทางรอดที่ยั่งยืนที่สุดสำหรับการมาเยือนของ Digital Disruption”