มุมมองอาจารย์กับ Pandemic Boom Supply Chain ไทยจะเป็นอย่างไร ?



โซ่อุปทานของธุรกิจไทยในยุคโควิดและหลังโควิด 

         ภายใต้สถานการณ์โรคระบาดโควิด – 19 ในปัจจุบัน ประกอบกับการพัฒนาสิ่งใหม่มองหาโอกาสใหม่ๆ (Disruption) ขององค์กร เราจะเห็นได้ว่าโซ่อุปทานธุรกิจอยู่ภายใต้สถานการณ์ที่มีความผันผวน (Volatility) มีความไม่แน่นนอน (Uncertainty) มีความซับซ้อน (Complexity) และมีความคลุมเครือ (Ambiguity) ซึ่งเรียกสถานการณ์นี้โดยย่อว่า VUCA เป็นสถานการณ์ที่คาดเดาได้ยาก หลายเหตุการณ์เกิดขึ้นแบบฉับพลันอธิบายปรากฏการณ์และคาดเดาผลลัพธ์ของเหตุการณ์ได้ยากมาก ประกอบกับความเชื่อมโยงของโซ่อุปทานโลกทำให้มีหลายปัจจัยที่เป็นองค์ประกอบในสถานการณ์ที่ผู้บริหารต้องนำมาประกอบในการพิจารณาตัดสินใจ ทำให้มีความซับซ้อนสูงมาก และเราจะเห็นได้ว่าภายใต้สถานการณ์โควิด – 19 ช่วงสองปีที่ผ่านมา ผู้คนได้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตไปสู่วิถีใหม่ พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนเร็วมากทำให้วัฏจักรชีวิตผลิตภัณฑ์ (Product life cycle) มีอายุที่สั้นลงมาก ผู้บริโภคให้ความสนใจผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมของผลิตภัณฑ์มากยิ่งขึ้น ทิศทางของตลาดถูกกำหนดโดยลูกค้า ผู้บริโภคมีการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในชีวิตประจำวันเป็นเรื่องปกติ นอกจากนี้ในตลาดยังมีผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ออกมาเร็วมากขึ้น และมีอาชีพใหม่เกิดขึ้นจำนวนมาก จากสถานการณ์ดังกล่าวมานั้นแนวทางการปรับตัวของของโซ่อุปทานธุรกิจในปัจจุบันและอนาคต เพื่อความสามารถในการแข่งขันอย่างยั่งยืน มีดังนี้

1) มุ่งเน้นประสิทธิภาพ (efficiency) โดยการลดค่าใช่จ่ายที่ไม่ก่อให้เกิดมูลค่าเพิ่มต่อสินค้าหรือบริการที่ส่งมอบให้กับลูกค้า และทำการบริหารสินทรัพย์ขององค์กรที่มีอยู่ก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด เพิ่มอัตราการหมุนเวียนของสินค้าคงคลังให้เร็วขึ้น ลดการจัดเก็บสินค้าคงคลังที่ไม่จำเป็น และปรับต้นทุนคงที่ (Fixed cost) เปลี่ยนเป็นต้นทุนผันแปร (Variable cost) เช่น กิจกรรมที่ไม่ใช่กิจกรรมสำคัญหลักของกิจการ จากที่เคยทำเองก็เปลี่ยนไปว่าจ้างภายนอกให้ดำเนินการทำแทน เพื่อลดต้นทุนคงที่ของกิจการ นอกจากนี้ควรหันมาลงทุนเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่จะช่วยให้กิจการประหยัดค่าใช้จ่ายได้ในระยะยาว เช่น ระบบอัตโนมัติ หุ่นยนต์ทำงาน เป็นต้น 

2) มีความคล่องตัว (Agility) โดยมีความสามารถในการปรับตัวต่อทุกสถานการณ์ ไม่ว่าสถานการณ์จะดีหรือเลวร้ายแต่กิจการมีพื้นฐานที่แข็งแกร่งสามารถปรับตัวได้อย่างรวดเร็วและดำเนินงานภายใต้สถานการณ์ต่างๆ ได้ และยังสามารถปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงความต้องการในตลาดได้อย่างรวดเร็ว เช่น การสามารถปรับลดหรือเพิ่มปริมาณการผลิต การใช้กลยุทธ์ชะลอเวลาหรือหน่วงเวลา (Postponement) ในการประกอบสินค้าสำเร็จรูปจนกว่าลูกค้าจะมีคำสั่งซื้อเข้ามาซึ่งกลยุทธ์นี้จะทำให้กิจการสามารถปรับเปลี่ยนสินค้าให้เข้ากับความต้องการเฉพาะของลูกค้า (Customization) ช่วยให้กิจการประหยัดต้นทุนการผลิตได้อีกทางหนึ่ง ลดต้นทุนจากการที่สินค้าสำเร็จรูปเสื่อมสภาพหรือล้าสมัย และที่สำคัญสามารถตอบสนองลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น

3) มุ่งเน้นลูกค้า (Customer focus) โดยการให้ความสำคัญการตอบสนองความต้องการของลูกค้าในแต่ละกลุ่ม (Segment) โดยมีการตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าหรือสามารถนำเสนอสินค้าและบริการเข้าสู่ตลาดได้รวดเร็ว (Responsiveness) มีการส่งมอบสินค้าและบริการที่มีคุณภาพ (Quality) โดยสินค้ามีคุณลักษณะถูกต้องตรงตามความต้องการของลูกค้า เงื่อนไขและราคาที่กำหนด นอกจากนี้กิจการต้องสามารถสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า (Customer experience) ตั้งแต่กระบวนการตัดสินใจซื้อ กระบวนการส่งมอบที่ตรงเวลา ปริมาณและสถานที่ถูกต้อง รวมทั้งมีบริการหลังการขายจนกระทั่งสินค้าสิ้นสุดอายุการใช้งาน 

4) การจัดการโซ่อุปทานอย่างยั่งยืน (Sustainable supply chain) มุ่งเน้นพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม  โดยกิจการมีการวางแผนบริหารผลิตภัณฑ์ตลอดช่วงวัฏจักรชีวิต (Life cycle) ตั้งแต่การออกแบบ การทดลอง การผลิต การใช้งาน การกำจัดผลิตภัณฑ์หลังจากหมดอายุการใช้งาน โดยคำนึงถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมตลอดทุกช่วงเวลาของผลิตภัณฑ์ และที่สำคัญกิจการต้องสร้างและพัฒนาความสัมพันธ์ที่ดีกับคู่ค้าหรือซัพพลายเออร์และกับลูกค้า มีการแลกเปลี่ยนแบ่งปันข้อมูลเรียนรู้ระหว่างกัน เพิ่มการมีส่วนร่วมในการพัฒนาผลิตภัณฑ์และตลาดร่วมกัน มุ่งเน้นกลยุทธ์แบบ win-win คือได้ประโยชน์ จะทำให้โซ่อุปทานมีความแข็งแกร่งสามารถดำเนินงานได้ในทุกสถานการณ์

5) ปรับเปลี่ยนเป็นองค์กรดิจิทัล (Digital organization) โดยกิจการสามารถเลือกใช้เทคโนโลยีดิจิทัลสนับสนุนกลยุทธ์ธุรกิจได้อย่างเหมาะสมและมีประสิทธิภาพ นำเทคโนโลยีดิจิทัลมาสร้างคุณค่าและประสบการณ์ใหม่ให้กับลูกค้า พนักงานและผู้มีส่วนได้เสีย มีการใช้ข้อมูลสารสนเทศที่เป็นปัจจุบันในการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ มีการเรียนรู้และร่วมมือกันในองค์กรรวมทั้งในเครือข่ายโซ่อุปทาน พนักงานทุกกลุ่มมีทักษะดิจิทัลสามารถเลือกใช้เครื่องมือและข้อมูลที่เหมาะสมในการนำมาใช้งาน มีการสร้างสภาพแวดล้อมและประสบการณ์ในการทำงานด้วยดิจิทัลให้กับพนักงาน มีการออกแบบระบบการทำงานขององค์กรให้พนักงานมีส่วนร่วมและรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งขององค์กร สร้างขวัญกำลังใจในการทำงานและที่สำคัญที่สุดคือ การพัฒนาพนักงานให้มีความรู้ ทักษะ ความสามารถเพิ่มสูงขึ้น นอกจากนี้แล้วองค์กรต้องมีฐานข้อมูล (Database) โดยเฉพาะฐานข้อมูลลูกค้าที่เป็นปัจจุบันสามารถนำมาใช้วิเคราะห์ตัดสินใจได้ตลอดเวลา 

         โดยสรุปโซ่อุปทานธุรกิจไทยในยุคโควิดและหลังโควิด มีการเปลี่ยนแปลงของความต้องการในตลาด ดังนั้นการปรับตัวเพื่อรับมือกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงดังกล่าว กิจการจึงต้องมุ่งเน้นประสิทธิภาพในการดำเนินงาน เพิ่มความคล่องตัวให้มากยิ่งขึ้น มุ่งเน้นลูกค้า ปรับโซ่อุปทานไปในแนวทางการจัดการอย่างยั่งยืนเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และปรับเปลี่ยนเป็นองค์กรดิจิทัล

รศ.ดร.กฤตพา แสนชัยธร
Krisae@kku.ac.th